วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความรู้ด้านไอที ที่มักจะสับสน

ความแตกต่างระหว่าง MBps, Mbps และ Kbps, KBps คือ ???

ข้อสังเกตุตรง B กับ b (บีใหญ่ และ บีเล็ก)
Mbps ย่อมาจากคำ่า "Megabit Per Second"
kbps ย่อมาจากคำว่า "Kilobit Per Second"

        นั่นเองครับ คือว่า ภายใน 1 วินาที ถ้า 1 Mbps เท่ากับว่า มีการส่งข้อมูลกันได้ประมาณ 1,000,000 Bits กันเลยทีเดียวเชียว ว่าแต่ว่า Bit คืออะไร คำว่า Bit นี้ถือเป็นหน่วยวัดขนาดที่เล็กที่สุดของคอมพิวเตอร์ ใหญ่ขึ้นมาจาก Bit ก็คีอ Byte นั่นเองครับ ดังนั้น จึงขอสรุปได้ว่า

1 Byte เท่ากับ 8 Bits

ครับ หลายคนอาจจะงงว่า ผมกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ งงไปหมดแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ สมมุติว่าคุณมีเพลง MP3 อยู่เพลงนึง ขนาดของไฟล์มันก็ 3.5 MB. แบบนี้ ถ้าจะถามว่ามีทั้งหมด กี่ Byte ก็ นำมันไป คูณด้วยตัว 1,024 (1 KB. = 1,024 Byte และ 1 MB. = 1,024 KB.) เป็นจำนวน 2 ครั้งด้วยกัน จะได้เท่ากับ 3,670,016 Bytes ด้วยกัน

และถ้าอยาก จะคำนวนออกมาเป็นเลขในหน่วย Bit ก็ คูณ ด้วยเลข 8 เข้าไปอีกครั้ง (เนื่องจาก 1 Byte เท่ากับ 8 Bits ตามที่ได้แจ้งมาด้านบน) รวมเบ็ดเสร็จเลย ก็จะได้ 29,360,128 Bits ด้วยกัน ดังนั้นถ้าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต เค้าแจ้งมาว่า ความเร็วในการดาว์นโหลดไฟล์เค้าเท่ากับ 4 Mbps เท่ากับว่า เพลงขนาด 3.5 MB. นี้ก็จะใช้เวลาดาว์นโหลดอยู่ประมาณ 7 วินาที นั่นเอง โดยมาจาก 29,360,128 Bits ของเพลง นำมาหารด้วย 4,194,304 Bits ซึ่งมาจาก (4 x 1,024 x 1,024) นั่นเองละครับ

สุดท้าย แล้วถ้า ท่านเจอ KBps กับ MBps ละ จะแปลว่าอะไรกันแน่ (ต่างกันตรงที่ b เล็ก กับ B ใหญ่ สังเกตุ ดีๆ นะครับ)

หมายเหตุ
  • 1 กิโลบิต(Kb) = 1000*8 บิต หรือ 1024*8 บิต
  • 1 เมกะบิต (Mb) = 1000 กิโลบิต หรือ 1024 กิโลบิต
  • 1 จิกะบิต (Gb) = 1000 เมกะบิต หรือ 1024 เมกะบิต
  • 1 เทราบิต (Tb) = 1000 จิกะบิต หรือ 1024 จิกะบิต

แหล่งข้อมูล:http://news.thaiware.com/129.html

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทความ ชวนคิด

" วิธีเดียว ที่คุณจะทำงานให้เยี่ยมยอดได้ คือ คุณต้องทำสิ่งที่คุณรัก " คำกล่าวของ - Steve Job -

เรื่องสั้นสะท้อนชวนให้คิด 
# เรื่องที่ 1...
ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เด็กสาวหน้าตาไม่สวยมาก เธอสมัครเป็นดาวคณะ ตอนที่เธอเดินออกมาแนะนำตัวต่อหน้าเพื่อนนิสิต เธอบอกว่า “หากเพื่อนๆ เลือกฉัน อีกสิบปีข้างหน้า เพื่อนๆ สามารถอวดกับลูกๆ และสามีได้ว่า ในปีที่แม่เรียนอยู่ แม่สวยกว่าดาวของคณะ”
เมื่อถึงเวลาเลือกดาวคณะ ปรากฏว่าเธอชนะ...
#@ การโน้มน้าวให้คนอื่นยอมรับในตัวคุณ ไม่จำเป็นต้องบอกความพิเศษ/โดดเด่นของคุณเสมอไป แต่ควรทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เพราะคุณ พวกเขาจึงมีความพิเศษและโดดเด่นขึ้นมา

# เรื่องที่ 2...
ภรรยากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว สามีคอยกำกับอยู่ข้างๆ “คนเบาๆ  ช้าๆ หน่อย ระวังหน่อยสิ ไฟแรงไป.. เร็วๆ รีบพลิกปลาได้แล้ว ตักออกมาสิ น้ำมันเยอะไปนะ คีบเต้าหู้วางให้ตรงๆ สิ”
ภรรยาสุดทน “นี่คุณ ฉันทำกับข้าวเป็นนะ พูดอยู่ได้”
ผู้เป็นสามีบอก “ที่รัก ผมรู้ว่าคุณทำเป็น...ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่า เวลาที่ผมขับรถแล้วคุณคอยกำกับ ให้ผมเบรก ให้ผมเร็ว ให้ผมระวัง ให้ผมแซงนั้น ผมรู้สึกยังไง”
#@ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณต้องยืนอยู่ในจุดของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเอง

# เรื่องที่ 3
วันที่ 1 กระต่ายออกไปตกปลา กลับมาตัวเปล่า ไม่ได้ปลากลับมาเลย
วันที่ 2 กระต่ายไปตกปลาอีก แต่ก็กลับมาตัวเปล่าเช่นเคย
วันที่ 3 เมื่อกระต่ายไปถึงบ่อปลา ปลาตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นจากน้ำ และตะโกนว่า “ถ้านายยังเอาแครอทมาเป็นเหยื่ออีก นายก็ต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกแน่”
#@ คุณให้ในสิ่งที่คุณชอบแก่คนอื่น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ... สิ่งที่คุณอุทิศให้ในแบบของคุณ จึงไม่มีค่า

# เรื่องที่ 4
มีเสืออยู่สองตัว ตัวหนึ่งอยู่ในกรง อีกตัวหนึ่งอยู่ในป่า เสือทั้งสองต่างคิดว่า ที่ที่มันอยู่นั้นไม่น่าอยู่เลย ต่างอิจฉาการดำเนินชีวิตของกันและกัน วันหนึ่ง พวกมันแลกที่อยู่กัน ต่างก็มีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่ ต่อมาไม่นาน เสือทั้งสองตัวก็ตายลง ตัวหนึ่งอดตายอยู่ในป่า อีกตัวหนึ่งตายเพราะซึมเศร้าอยู่ในกรง
#@ คนเรามักไม่ถนอมรักษาในสิ่งที่เรามีอยู่ แต่มักอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี แท้จริงแล้ว สิ่งที่คุณมีนั่นเอง คือสิ่งที่คนอื่นอิจฉา

# เรื่องที่ 5
หนูตัวหนึ่งตกลงไปในถังข้าวสาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ มันดีใจมาก มันคิดว่ามันโชคดี จึงกินข้าวสารนั้นอย่างอิ่มหมีพีมัน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เป็นทำอยู่อย่างนี้หลายวัน ...วันหนึ่งตอนที่มันกินจนเห็นพื้นของถังข้าวสาร มันฉุกคิด แต่ข้าวสารในถังก็ยั่วยวนเหลือเกิน มันกินจนข้าวสารหมดถัง ถึงตอนนี้มันถึงรู้ว่า ปีนออกจากถังไม่ได้อีกแล้ว
#@ การใช้ชีวิตของเรา แม้ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่แท้ที่จริงมันเต็มไปด้วยกับดักและหลุมพลางที่แยบยล

# เรื่องที่ 6 (จบ)
ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เบิร์ดนั่งตรงข้ามกับหญิงสาวคนหนึ่ง เขาพูดไปตามมารยาทว่า ...
“คุณสวยจริงๆ ครับ”
หญิงสาวคนนั้นกลับไม่รับน้ำใจ เขา ไม่แม้แต่จะกล่าวคำขอบคุณ ซ้ำเธอยังกลับพูดออกมาอย่างยโสว่า ...น่าเสียใจ ที่ฉันไม่อาจชมคุณว่าหล่อเหมือนที่คุณชมว่าฉันสวยได้”
เบิร์ดจึงพูดออกไปอย่างสุภาพว่า “ไม่เป็นไรครับ แต่คุณควรฝืนใจฝึกพูดโกหกเหมือนผมบ้างก็ได้นะครับ” ....ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอับอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
#@ เมื่อคุณบ้วนน้ำลายขึ้นฟ้า คนที่เปื้อนอาจเป็นตัวคุณเอง

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Fiber Optic

1.) 10G-SR คือสาย Multimode ครับ ระยะที่ต่อขึ้นอยู่กับประเภทของสาย patch เป็น 62.5 หรือ 50 และเป็น om เท่าไร
2.) 10G-LR คือสาย singlemode ครับ ได้ประมาณ 10km.ส่วน 1G LX / LH ต่างที่ระยะทางที่จะใช้บน single mode ครับ โดยส่วนใหญ่ LX 10km และ LH 40km
3.) 1000BASE LX/LH, 10Gbase-SR , 10Base-LR  สังเกตุที่ LX/LH/LR ขึ้นต้นด้วย L เป็น Single mode ครับ ย่อมาจาก LONG . ส่วนที่ขึ้นต้นด้วย S คือ Short เป็น Multimode

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

Basic Config Cisco Switch

เริ่มจาการตั้ง password
 # password จะมี 2 mode ตามความเข้าใจ เรียกสัน ๆ ว่า user mode และ admin mode (privileged  mode) แตกต่างกันตรง user mode จะแก้ไข config ไม่ได้ สังเกตุได้จากเครื่องหมาย ">" อยู่หน้าคำสั่ง แต่ถ้าอยู่ใน admin mode จะมีเครื่องหมาย "#" หน้าคำสัง

เริ่มกันเลย...

ตั้ง Password สำหรับ Line Console
switch(config)# line console 0
switch(config-line)#password password  // ใช้ password คือ password สำหรับเชื่อมต่อผ่านสาย Console //
switch(config-line)# login  // จะต้องเปิดใช้งาน line console หากไม่มี command "login" password ที่ใช้บน line console จะไม่ทำงาน

ตั้ง Password สำหรับ admin mode/priviledge exec mode
.. เราสร้าง Password ให้แก่ priviledge exec mode หรือ admin mode ซึ่งเป็นการ security ต่อจาก Line Console อีกหนึ่งชั้น
switch#config terminal
switch(config)# enable password @password // password สำหรับ admin mode คือ @password //

ตั้ง Password สำหรับ Line vty (telnet)
switch(config)#line vty 0 4  // ( maximum is 0 15 ซึ่งเท่ากับสามารถรับได้สูงสุดพร้อมกัน 16 คน )
switch(config-line)#password @passwor0rd // password สำหรับ user mode คือ @passw0rd //
switch(config)#login
 ** เมื่อทำการ Telnet ไปยังอุปกรณ์ จะถาม password นี้ก่อนหนึ่งขั้นตอน หลังจากนั้นจึงถาม password privilege mode ต่อไป **

*Trick* ! หากเชื่อมต่อผ่าน browser ให้ใช้ user login = admin และใช้ password = password admin mode !

การ Config interface หลาย interface พร้อมกัน(ragne)
switch# config terminal
switch(config)# interface range GigabitEthernet 0/3-4  // กำหนดเป็น port ที่ 3 และ 4 //
switch(config)# switch mode access  // เป็น mode access หรือ trunk ตามต้องการ //
switch(config)# switch access vlan 2 // กำหนดให้รองรับ vlan 2 (หมายถึง vid 2) //

Command Cisco ควรรู้
switch#no logging console ==> ไม่ให้แสดง status ของ port ขณะทำการ config ผ่าน Console
switch#show ip interface brief ==> แสดงรายละเอียดของ Interface
switch(config) # snmp-server communication public RO ==> กำหนดให้ snmp ทำงานภายใต้เงื่อนไข ReadOnly
switch(config)#reload ==>  คือการสั่ง reload config หรือว่ามองว่าเป็นการ reboot switch ก็น่าจะได้
switch#sh interface status ==> คือการแสดงสถานะการเชื่อมต่อแต่ละ port ว่าเชื่อมต่อที่ vlan ใด และมี speed เท่าใด
switch#switchport trunk allowed vlan 1,91-108,192 ==> หมายถึง ยอมให้ vlan ตามที่แสดงส่งผ่านข้อมุลได้ ถึงแม้ว่า port ดังกล่าวจะเป็น mode trunk ก็ตาม (จะต้องกำหนด port เป็น mode trunk ด้วย)

!* บทความน่าสนใจ*!

** บนความน่าสนใจเพิ่มเติม
1.trunk encapsulation dot1q คือ คำสั่งนี้จะอยู่บน Router นะครับ จะถูก config ในตัวของ Sub-interface  จะใช้ในกรณีที่ router ต้องการให้หลายๆๆ vlan วิ่งผ่าน จะคล้ายๆ การทำ trunk บน switch sub-interface แต่ละ sub ก็สามารถ encap ได้หลายๆ  vlan นะครับ   ส่วนคำสั่ง encapsulation dot1q xxx native  ก้อเกิดมาจากในเครือข่ายของเราได้ทำการ config switch เอาไว้ ให้เป็น native ซึ่งโดยปกติ port ที่เป็น trunk เมื่อมี frame ของ vlan ต่างๆผ่านเข้ามา มันจะทำการติด tag เข้าไปที่ header แ ต่ถ้าเมื่อ frame ที่เป็นของ native vlan เข้ามาทาง trunk port จะไม่ทำการติด tag ที่ header และเมื่อ frame ไปถึงปลายทางแล้วมันแกะดูใน header ไม่พบ tag ดังกล่าวมันก็จะทราบทันทีว่าเป็น frame ของ native vlan ซึ่งโดย default นะครับ native vlan จะถูกกำหนดไว้เป็น vlan 1 แต่เราสามารถเปลี่ยนได้  ดังนั้นเมื่อที่ switch มีการสร้าง native ที่ router จึงต้องทำการ encapsulation ตัว native ด้วย  ประโยชน์จริงๆแล้วของ native ก็เอาไว้เพื่อทำการ mange ตัว device ต่างๆนั่นเอง (ที่มา:www.thaiadmin.org) 
2. port channel หากต่อกับ server mode active แต่ถ้าต่อกับ switch mode on


ขอขอบคุณความรู้จาก http://www.jodoi.com